เว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ เป็นรองแค่อิตาลี ! ยอดผู้ตาย COVID-19 อินโดนีเซีย สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน

เว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ เป็นรองแค่อิตาลี ! ยอดผู้ตาย COVID-19 อินโดนีเซีย สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน

อินโดนีเซีย เปิดเผยว่ามีคนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ เว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ ใหม่ 2 คนแรกเมื่อวันที่ 2 มี.ค. และภายใน 1 เดือนเท่านั้น ยอดผู้ติด โควิด-19 (COVID-19) ที่เพิ่งรายงานไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 1,986 คน และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 181 ทำให้ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดในภูมิภาคด้วย

ขณะนี้ อัตราการเสียชีวิตใน อินโดนีเซีย อยู่ที่ร้อยละ 9.1 เป็นรองเพียงแค่ อิตาลี 

ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในโลก เพียงเล็กน้อย ขณะที่อัตราการเสียชีวิตทั่วโลกอยู่ที่ร้อยละ 5.2 ส่วน ฟิลิปปินส์ มีอัตราการเสียชีวิตที่ร้อยละ 4.5 และ มาเลเซีย ที่ร้อยละ 1.6 ในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ทั้ง ฟิลิปปินส์ และ มาเลเซีย จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 3,000 คนแล้วก็ตาม

สำนักข่าว Kompas.com รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ติดเชื้อแล้ว 95 คนในกรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นจุดที่มีคนติดเชื้อมากที่สุดในประเทศ และมีอย่างน้อย 13 รายที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เม.ย.

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียระบุว่า มีโรงพยาบาลทั้งหมด 2,813 แห่งในประเทศ มีเตียงผู้ป่วย 12 เตียงรองรับประชากรทุก 10,000 คนและมีการประเมือนว่ามีแพทย์อยู่ประมาณ 110,000 กว่าคนต่อประชากรทั้งหมดมากกว่า 260 ล้านคน คิดเป็นอัตราส่วนแพทย์ 4 คนต่อประชากร 10,000 คน

แม้อินโดนีเซียจะซื้อชุดตรวจโควิด-19 มาจากจีน 500,000 ชุด แต่เว็บไซต์ Katadata.co.id กลับรายงานว่า จากข้อมูลวันที่ 2 เม.ย. อัตราการตรวจเชื้อเพียง 25 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย เมื่อเทียบกับอินเดียที่ตรวจ 35 คน และเกาหลีใต้ที่ตรวจ 8,222 คนต่อประชากร 1 ล้านคน

หน่วยงายวิจัยการแพทย์เอคมัน-อ็อกซ์ฟอร์ด ประเมินว่า น่าจะมีคนติดเชื้อในอินโดนีเซียถึง 71,000 คนภายในสิ้นเดือนนี้ ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียคาดว่าน่าจะมีคนติดเชื้อราว 600,00 – 2,500,000 คนภายในกลางเดือนพ.ค.นี้

รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกขณะนี้ การรักษาผู้ป่วยยังต้องพึ่งพาการให้ยารักษาตามอาการของผู้ป่วย และการผลิตวัคซีนยังอยู่ในกระบวนการของพัฒนาและวิจัยอย่างเร่งด่วน แต่ยังมีวิธีการรักษาผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่สามารถทำได้ทันทีอีกวิธีหนึ่ง

คือการนำพลาสมาจากผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายแล้ว นำไปใช้รักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงได้ ดังนั้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งทำหน้าที่ในการรับบริจาคพลาสมาเพื่อรักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ อยู่แล้ว จึงขอรับบริจาคพลาสมาจากผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่หายดีแล้ว เพื่อนำไปช่วยรักษาผู้ป่วยโรค COVID-19 ต่อไป โดยผู้ประสงค์จะบริจาคพลาสมา ต้องเป็นผู้ป่วยที่หายดีไม่มีอาการ ออกจากโรงพยาบาลและกักตัวที่บ้านครบ 14 วันแล้ว จึงจะสามารถมาบริจาคพลาสมาได้

รัฐบาลไทยซื้อยา Favipiravir กว่า 2.87 แสนเม็ด จากญี่ปุ่น-จีน รักษาโควิด-19

รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir  โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19  องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสำคัญสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 มีแหล่งผลิตอยู่ 2 แหล่งหลัก คือญี่ปุ่นเจ้าของลิขสิทธิ์และจีนซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น  รวมได้รับยามาแล้ว 87,000 เม็ด โดย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมควบคุมโรคได้นำเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 5,000 เม็ด  เมื่อวันที่ 2  มีนาคม 2563 รัฐบาลจีนได้บริจาคให้รัฐบาลไทยจำนวน 2,000 เม็ด  เมื่อ 12 มีนาคม 2563 กรมควบคุมโรคนำเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 40,000 เม็ด  ส่งมอบให้สถาบันบำราศนราดูร ,กรมการแพทย์ ,โรงพยาบาลใน 12 เขตสุขภาพแล้ว และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรมได้จัดซื้อจากญี่ปุ่น 40,000 เม็ด ส่งให้โรงพยาบาลราชวิถี 18,000 เม็ด เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12เขตสุขภาพ จำนวน 18,000 เม็ด เพื่อจัดสรรให้กับโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เหลือไว้สำรองสำหรับจัดสรรกรณีจำเป็นเร่งด่วนอีกจำนวน 4,000 เม็ด

ปัจจุบันได้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 515  ราย ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ดเหลืออยู่ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกถึง 4-5 เดือน ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรม ได้สั่งซื้อจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด โดยจะมีการจัดส่งยาภายในเดือนเมษายนนี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด และจะมีการสั่งซื้อเพื่อสำรองเพิ่ม

“การจัดหายาต้านไวรัสในครั้งนี้ มีความยากลำบากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ ต้องใช้การดำเนินการทุกวิถีทาง ทั้งการเจรจาผ่านสถานฑูตญี่ปุ่นและจีน ทั้งในแง่ของการซื้อและบริจาคมาโดยตลอด เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเราไม่รอเด็ดขาด ส่วนกรณีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาให้ 30 ประเทศนั้น ในเบื้องต้นทราบว่าญี่ปุ่นจะบริจาคสำหรับโครงการวิจัยเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้หากประเทศใดต้องการบริจาคยาประเทศไทยยินดีรับการสนับสนุน เพื่อให้มียาช่วยรักษาชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเร่งด่วน”  นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว สล็อตเว็บตรง , ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ เว็บตรง